จุดที่ศาลฎีกา วินิจฉัยการวางแผนตั้งแต่ต้นในคดีฉ้อโกงมีรายละเอียดอย่างไร

จุดที่ศาลฎีกา วินิจฉัยการวางแผนตั้งแต่ต้นในคดีฉ้อโกงมีรายละเอียดอย่างไร

จุดที่ศาลฎีกา วินิจฉัยการวางแผนตั้งแต่ต้นในคดีฉ้อโกงมีรายละเอียดอย่างไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2534

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยทั้งสองมาพบโจทก์ และแสดงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวงโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มาชำระหนี้แทนเช็คที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายชำระค่าซื้อฟิล์มภาพยนตร์ไปจากโจทก์ โดยจะนำมามอบให้ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยที่ 2ยังได้หลอกลวงโจทก์ต่อไปอีกว่าโจทก์จะต้องมอบเช็คทั้งหมดคืนจำเลยที่ 2 ไปก่อน โจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบเช็คซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ไป ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528ซึ่งเป็นวันนัด จำเลยที่ 2 ไม่ได้นำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันทุจริตเอาไปเสียซึ่งเอกสารสิทธิของโจทก์และเป็นการฉ้อโกงโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเช็คดังกล่าวไป และยังทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้สิทธิเรียกร้องตามเช็คให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ได้อีกด้วย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 188, 83 และ 90

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 และ 341 แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 188 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มอบเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าซื้อฟิล์มภาพยนตร์ซึ่งจำเลยที่ 1 ซื้อไปจากโจทก์คืนให้แก่จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงิน 350,000 บาท ตามเช็คพิพาทไปชำระให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ติดต่อทวงถามจำเลยทั้งสองในวันรุ่งขึ้นจากวันที่จำเลยทั้งสองว่าจะนำรถยนต์มามอบให้โจทก์โจทก์ก็ได้รับแจ้งจากคนที่บ้านจำเลยว่าจำเลยไม่อยู่บ้าน จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรกในขณะที่จำเลยทั้งสองมาแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เรื่องผิดคำมั่นสัญญา เพราะการที่จำเลยทั้งสองแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์บีเอ็มดับบลิวมามอบให้โจทก์ไม่ใช่เหตุการณ์ตามความเป็นจริงในขณะนั้นแต่เป็นแผนการกำหนดขึ้นเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อ เป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งเช็คอันเป็นทรัพย์สินจากโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ส่วนความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 นั้นเห็นว่า การที่จำเลยทั้ง สองได้หลอกลวงเอาเช็คคืนไปจากโจทก์นั้นเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดเอกสารที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 อีกบทหนึ่ง

พิพากษายืน.

สรุป

โจทก์มอบเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าซื้อฟิล์มภาพยนตร์ซึ่งจำเลยที่ 1 ซื้อไปจากโจทก์คืนให้แก่จำเลยทั้งสองโดยหลงเชื่อคำขอของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เป็นการแลกกับเช็คพิพาทในวันรุ่งขึ้นซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรกในขณะที่จำเลยทั้งสองมาแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์ไม่ใช่เรื่องผิดคำมั่นสัญญา เพราะการที่จำเลยทั้งสองแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้โจทก์ไม่ใช่เหตุการณ์ตามความเป็นจริงในขณะนั้น แต่เป็นแผนการกำหนดขึ้นเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งเช็คอันเป็นทรัพย์สินจากโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 341 และยังเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดเอกสารที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188 อีกด้วย.