เปิดฎีกาช่องทางสู้ผู้รับจำนำ คดีครอบครองปรปักษ์

เปิดฎีกาช่องทางสู้ผู้รับจำนำ คดีครอบครองปรปักษ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6445/2562

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามฟ้องแก่โจทก์เป็นเงิน 21,747,158.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 13,610,636.28 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น โดยจำเลยทั้งสี่ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 180,000 บาท ให้เสร็จสิ้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กำหนดชำระงวดแรกวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 งวดต่อไปทุกวันที่ 22 ของทุกเดือน โดยชำระที่ทำการของโจทก์ และจำเลยทั้งสี่ตกลงร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ 3,000 บาท ให้แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งภายในวันที่ 22 มกราคม 2552 โดยชำระที่ทำการของโจทก์หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน หรือผิดนัดชำระหนี้ข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด จำเลยทั้งสี่ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องคือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2735 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 8662, 2184, 2501, 1873, 33593, 34034, 49874, 49876, 49877, 51789 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพิพาท คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2735 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 8662, 2184, 2501, 1873, 33593, 34034, 49874, 49876, 49877, 51789 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท

โจทก์ให้การขอให้ยกคำร้องขอ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 5,000 บาท

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 5,000 บาท

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องนำสืบว่า จำเลยที่ 4 ได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากนายบุญเที่ยง บิดา จากนั้นจำเลยที่ 4เข้าทำประโยชน์และแบ่งปันที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตร ผู้ร้องเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ก่อนโจทก์ยึดที่ดินพิพาท อันเป็นการอ้างว่า ผู้ร้องได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่เมื่อสิทธิของผู้ร้องนั้นยังมิได้จดทะเบียน ย่อมต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังนี้ เมื่อผู้ร้องไม่ได้นำสืบว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกรับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่มีค่าตอบแทนหรือไม่สุจริตแต่ประการใด จึงต้องฟังว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ย่อมอยู่ในฐานะบุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ที่ผู้ร้องไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันกับโจทก์ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองแก่ที่ดินพิพาท และผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท

 

ทีมงานททนายความ แสงวรรณ เรือนเครือ
สำนักงานกฎหมาายทนายความแสงวรรณ
72/122 ม.7 ซ.8 ต.วัดไทร อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000
โทร 084-5795609